เพราะ "สี" คือวิทยาศาสตร์

เคยมีรายงานว่า ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับศิลปะ (ในฐานะผู้ใหญ่) ด้านวิจิตรศิลป์ งานฝีมือ หรือศิลปะการแสดง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มากกว่านักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึง 15-25 เท่า 


... นักคณิตศาสตร์ผู้ลุ่มหลงในทฤษฎี ที่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะคิดค้นไปเพื่ออะไร มีความดื้อรั้นและเป็นศิลปินไม่น้อยเลย 

... นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นหาเหตุผล เพื่ออธิบายเกี่ยวกับจักรวาล หรือสิ่งที่ไม่เคยพบเห็น ต้องใช้พลังจินตนาการสูงมาก 

... นักปรัชญาโบราณ สนใจอะไรก็ลงมือศึกษา จนเชี่ยวชาญในหลายเรื่องพร้อมกัน ทั้งปรัชญาศาสนา การปกครอง วิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ และบทกวี 

... เบื้องหลังของยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้มของโมนาลิซา ที่สร้างสรรค์โดยฝีมือของ ดา วินชี ก็มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ 

... และชื่อเสียงระดับโลกของจิตรกรเอกมากมาย ใช่ว่าได้มาเพียงเพราะวาดสวย หรือระบายสีเก่ง หากแต่ต้องทั้งสังเกต ค้นคว้า และทดลอง จึงค้นพบเทคนิคใหม่ได้เป็นคนแรกๆ 


ทั้ง “วิทยาศาสตร์” และ “ศิลปะ” ต่างก็คือความพยายามของมนุษย์ ที่จะเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว

ก่อนที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้สีที่ถูกต้องนั้น ศิลปินก็สามารถผสมและตระเตรียมสีต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ได้เองอยู่แล้ว ... สำหรับศิลปิน วิทยาศาสตร์ของสี ซึ่งหมายรวมถึงองค์ความรู้ในเชิงกายภาพและจิตวิทยา คงไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก

กระนั้นศิลปินก็ยังคงพยายามค้นหา “สาระ” ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในสี

เพราะ “สี” คือวิทยาศาสตร์

โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนากล้องถ่ายรูปสี โทรทัศน์สี หรือเครื่องพิมพ์ 3 หรือ 4 สี วิทยาศาสตร์ของ “สี” คือความจำเป็นอันดับแรกๆ ... การวัดค่าที่แม่นยำ คือพื้นฐานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้สามารถผลิตซ้ำ และได้ผลเหมือนเดิมในทุกๆ ครั้ง

นอกจากนี้ การได้เข้าใจว่ามนุษย์รับรู้สีได้อย่างไร ตั้งแต่วินาทีแรกที่ดวงตามองเห็น กระทั่งเกิดการรับรู้ในส่วนของสมองและระบบประสาท นอกจากจะไม่ได้ทำให้ “เสน่ห์” ของสีลดน้อยด้อยลงเลย แต่กลับกัน ยังน่าจะช่วยเพิ่มเติมคุณค่า และชวนให้น่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “สี” ได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งสีทาบ้าน สีอุตสาหกรรม สีสิ่งพิมพ์ สีย้อม สีเครื่องเขียน และสีสำหรับงานศิลปะ

อีกทั้งยังมีสีของแสงไฟ สีจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น เลนส์ กล้องถ่ายรูป เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้ โลกเป็นหนี้บุญคุณ นิวตัน ผู้เป็นตำนาน (ไม่ต้องพูดเยอะ) เล โบลน ที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง “สีของแสง” และ “สีของวัตถุ” เกอเธ่ ซึ่งให้กำเนิด “ทฤษฎีแม่สี” โทมัส ยัง ซึ่งเรียงร้อยถ้อยคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการรับรู้สีของมนุษย์ จากองค์ความรู้เรื่องคลื่นแสง และจินตนาการอันล้ำลึก 

รวมถึงนัก “วิทยาศาสตร์ศิลปิน” และ “ศิลปินนักวิทยาศาสตร์” อีกมากมาย

อ่านเรื่องราวของวิทยาศาสตร์แห่งสีสันได้เพิ่มเติมใน “ไทม์ไลน์ 5000 แสง สี วิทย์ ศิลป์

knowledge and discovery history of light, color, science, art connection

หนังสืออีบุ๊ก ไทม์ไลน์ 5000 แสง สี วิทย์ ศิลป์
อ่านบน mebookbee

ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก freepik.com


หนังสือชุด “ไทม์ไลน์ 5000” ความรู้รอบตัวในรูปแบบ e-book โดย ดร.ทิพยาดา ศรีเจริญ


    


ความคิดเห็น